ประกันภัยรถยนต์จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่

1. ประกันภัยภาคบังคับ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ประกัน พ.ร.บ เป็นประกันที่รถทุกคันต้องมีไม่ว่ารถยนต์ประเทศใดก็ตามรวมถึงมอเตอร์ไซค์ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง ปี พ.ศ. 2535 ถ้าผู้ใดฝ่าฝืน ระวังโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และจะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้
2. ประกันภัยแบบสมัครใจ (ไม่บังคับ) ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคลใครจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้และการชดใช้ค่าเสียตามแต่ของสัญญาที่ตรงลงกันไว้ระหว่างผู้เอาประกันและบริษัท ซึ่งจะแบ่งประเภทได้ 3ประเภทดังนี้

ประกันภัยชั้น 1 เป็นประกันคุ้มครองมากที่สุด โดยกำหนดความคุ้มครองไว้คร่าวๆ ดังนี้

1. รับผิดชอบทั้งชีวิตและร่างกาย ทั้งผู้โดยสารภายในรถและบุคคลภายนอก
2. รับผิดชอบต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
3. รับผิดชอบความเสียหายของตัวรถยนต์ด้านเอาประกันภัย
4. รับผิดชอบต่อการสูญหายและไฟไหม้ตัวรถด้านเอาประกันภัย

ประกันภัยชั้น 2 มีการคุ้มครองดังนี้

1. รับผิดชอบทั้งชีวิตและร่างกาย ทั้งผู้โดยสารภายในรถและบุคคลภายนอก
2. รับผิดชอบต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
3. รับผิดชอบต่อการสูญหายและไฟไหม้ตัวรถด้านเอาประกันภัย

ประกันภัยชั้น 3 คุ้มครองแต่บุคคลภายนอก แต่ไม่คุ้มครองทรัพย์สินของผู้ทำประกัน โดยมีการคุ้มครองดังนี้

1. รับผิดชอบทั้งชีวิตและร่างกาย ทั้งผู้โดยสารภายในรถและบุคคลภายนอก
2. รับผิดชอบต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก

นอกจากประเภทของประกันภัยแล้ว ก็ยังมีในส่วนย่อยของกรมกรมธรรม์ โดยจะมีอยู่ 2 แบบ ดังนี้

1. แบบระบุชื่อผู้ขับขี่รถยนต์
   เป็นกรมธรรม์แบบที่เพิ่มเข้ามาในใหม่ โดยเอาอายุผู้ขับ มาเป็นส่วนตัดสินใจในการคิดค่าส่งเบี้ยประกัน ซึ่งราคาจะถูกกว่าแบบที่ไม่ระบุชื่อ รวมถึงการคุ้มครองในกรณีที่ผู้ขับไม่ได้ตรงตามที่กับที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อค่าเสียหายด้วยของการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้งๆ ซึ่งกรมธรรม์ชนิดรถที่จะทำ ต้องเป็นรถส่วนบุคคล และสามารถระบุชื่อผู้ขับได้มากสุดคือ 2 คน ซึ่งถ้าใครซื้อรถยนต์และมั่นใจว่าขับคนเดียวตลอด และไม่มีการให้ผู้อื่นยืมไปขับไปใช้งาน ก็ซื้อประเภทนี้ไปจะถูกมากกว่าครับ
2. แบบไม่ระบุชื่อ
   เป็นแบบดั้งเดิม ใครจะขับใช้รถก็ได้ก็ตามแต่ บริษัทประกันภัยก็คุ้มครองเสมือนเป็นผู้เอาประกันภัย แต่ค่าส่งเบี้ยก็จะแพงกว่าแบบระบุชื่อ

และอยากจะฝากเตือนใจเรื่องการทำประกันภัยรถยนต์ไม่ว่าชั้นใด ก็ตามแต่ก่อนจะทำทุกครั้งต้องอ่านรายละเอียดของสัญญาทำประกันทุกครั้ง อย่าได้เพียงแค่เชื่อตามคำโฆษณาของผู้ขายประกันซะไปหมดทุกอย่าง เช่นว่า รถหายมีค่าชดเชยเท่าไร มีข้อแม้ในการชดเชยค่าเสียหายในแต่ละเคสอย่างไร ฯลฯ เพราะคนที่ได้รับผลประโยชน์เสียผลประโยชน์ก็คือตัวคุณเอง มิเช่นนั้นคุณอาจะโดนการเอาเปรียบหรือการโกงในการจ่ายค่าชดเชยก็เป็นได้