แผนกขาย
095 249 9266
แผนกบริการ
1114
แผนกรถเช่า
081 785 3955
แผนกประกัน
089 924 2066
บริการตัวถังและสี
098 285 8295
แผนกอะไหล่
091 557 8511
นัดหมายล่วงหน้า
1114
สำหรับแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ตัวใหม่ กระทรวงการคลังกำหนดจัดเก็บจากปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แทนของเดิมที่เก็บจากปริมาตรกระบอกสูบ เหตุผลใหญ่ก็เพราะปัจจุบันโครงสร้างภาษีเดิมมีอัตราเยอะมาก มากถึง 43 อัตรา ไม่ชัดเจน ไม่เป็นธรรม และไม่เร้าใจในแง่ของการลงทุน โครงสร้างใหม่เลือกจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใครปล่อยเยอะก็เสียมาก ทำให้ค่ายรถยนต์ต้องพัฒนารถยนต์ของตัวเองให้รักษ์โลกกันมากที่สุด เพื่อทำต้นทุนให้ต่ำ
ส่วนอัตราเบื้องต้นกำหนดหากปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 150 กรัม/กม. จะเสียภาษีเท่าเดิม แต่หากปล่อยเกินกว่านี้จะเสียภาษีเพิ่มอีก 5% และให้เวลาค่ายรถยนต์ได้มีเวลาเตรียมตัวประมาณ 3 ปี
ทั้งหมดเชื่อว่าหากคำนวณภาษีจากปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ น่าจะลดคาร์บอนฯในบ้านเราได้ถึง 4 หมื่นตันต่อปี ส่วนภาษีที่ได้จากผู้ผลิตรถยนต์รัฐเอาไปไว้ที่ไหน? เชื่อว่าทุกคนรู้ดีว่า นำไปใช้เพื่อการพัฒนาประเทศ ขณะที่ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีด้วยเช่นกัน ตอนนี้ผมนำข้อมูลว่ารถ 1 คันที่ซื้อ...เราจ่ายภาษีกันเท่าไร? มาฝากโดยกรมสรรพสามิตเขาชี้แจ้งให้เห็นอย่างละเอียด ทั้งรถนำเข้าและรถที่ผลิตในประเทศ
โครงสร้างการคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทย จะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 รถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ
การคิดภาษีสำหรับรถนำเข้านั้น จะคิดจากราคา CIF (Cost+Insurance+Freight) ซึ่งก็คือ ราคาขายของรถบวกด้วยค่าอากร ค่าประกันภัย และค่าขนส่งจากต่างประเทศ มาถึงที่ท่าเรือที่ประเทศไทย ราคา CIF นี้จะถูกระบุไว้ในเอกสารการนำเข้า ในที่นี้สมมติให้ราคา CIF เท่ากับ 100 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะประกอบไปด้วย
ซึ่งเมื่อรวมภาษีทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันแล้ว จากราคารถสมมติที่ 100 บาท จะกลายเป็น 287.5-428.0 บาท (ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ) ซึ่งมูลค่าดังกล่าวนี้ยังไม่รวมอัตรากำไร และค่าดำเนินการอื่น ๆ ของบริษัทผู้จำหน่าย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะเห็นรถราคา 1 ล้านในเมืองนอกมาขายที่บ้านเราในราคา 3-4 ล้านบาท เพราะภาระภาษีมันสูงเช่นนี้นี่เอง
กรณีที่ 2 รถที่ผลิตในประเทศไทย
ผู้ผลิตจะนำชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาจากต่างประเทศเป็นบางรายการ
ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อรถที่ผลิตในประเทศ เครื่องยนต์ 1,800 ซีซี ในราคา 7 แสนบาท หมายความว่า เราได้จ่ายภาษีให้รัฐประมาณ 2.8-3 แสนบาท ในขณะที่ภาษีรวมของรถนำเข้าจะคิดจากราคาขายปลีกไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รวมกำไรและค่าดำเนินการของผู้นำเข้า ฉะนั้นต้องคิดจากราคาทุน ซึ่งจะมีมูลค่าภาษีอยู่ที่ประมาณ 200-300% ของราคาต้นทุน