แผนกขาย
095 249 9266
แผนกบริการ
1114
แผนกรถเช่า
081 785 3955
แผนกประกัน
089 924 2066
บริการตัวถังและสี
098 285 8295
แผนกอะไหล่
091 557 8511
นัดหมายล่วงหน้า
1114
เป็นข้อถกเถียงกันมานานของชาวเกียร์ออโต้ว่า เมื่อรถติดควรเข้าเกียร์ไหนดีกว่า ระหว่างเข้าเกียร์ N ไปเลยหรือเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรกไว้ ก็ทราบกันดีกันแล้วว่าเกียร์ออโต้จะมี P R N D 1 2 ซึ่งหน้าที่ของแต่ผู้อ่านคงทราบกันดีอยู่แล้วจากบทความการใช้เกียร์ออโต้ แต่ในวันนี้ เราจะมาพูดถึงเกียร์ N และ D ในกรณีเมื่อต้องจอดรอขณะรถติดว่าแบบไหน ส่งผลต่อการสึกหรอ และมีความเสี่ยงอย่างไร
เรื่องความปลอดภัย ถ้าคุณใช้เกียร์ D แล้วเหยียบเบรก รถหยุดนิ่งก็จริงอยู่ แต่ถ้าคุณละเท้าจากเบรกหรือเผลอลืมไปผ่อนน้ำหนักแป้นเบรก มีโอกาสที่จะรถเลื่อนไปชนคันหน้าสูง เมื่อรถติดและรถคุณอยู่กระชั้นชิดกับรถคันหน้า ซึ่งต่างจากการเข้าเกียร์ N ที่ ไม่ต้องเบรก และปลอดภัยมากกว่า ถ้าเป็นตัวกระผมเองผมก็จะเลือกใช้เกียร์ N กันพลาดและปลอดภัยมากกว่า หรือบางท่านบอกว่าติดแค่สั้นๆ ขี้เกียจเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ อันนี้ก็ไม่ว่าเลือกเอาครับ ว่าความสะดวกกับ ปลอดภัยอันไหนมันคุ้มกว่ากัน แต่ตอนเข้าเกียร์ N ต้องระวังพื้นที่ๆ รถจอดอยู่ด้วยนะครับถ้าลาดเอียง รถจะไหลไปชนคันอื่นโดยไม่รู้ตัว
เรื่องความสึกหรอ ข้อนี้เรื่องการพิสูจน์ยังไม่ค่อยแน่ขัดเท่าไร ว่าเปลี่ยนเกียร์ D ไป N มีผลต่อการสึกหรอแค่ไหนแต่ทางเทคนิคการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ ทุกครั้งที่เข้าตำแหน่งเกียร์ขับเคลื่อน ตัวชุด Torque Covertor จะถูกเชื่อมเข้ากับชุดฟลายวีลที่ด้านหลังเครื่องยนต์ ถ้ารถยังไม่ได้ขับเคลื่อน แรงเบรคก็ย่อมสามารถชนะแรงขับเคลื่อนของรถได้เพราะเครื่องยนต์เป็นรอบเดินเบาอยู่ แต่สิ่งที่สึกหรอแน่ๆ ก็คือเบรก ยิ่งชุดหม้อลมเบรกและท่อทางเดินน้ำมัน เพราะได้รับแรงดันจากการกดเบรกต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ การค้างตำแหน่งเกียร์ไว้ที่ D ในส่วนของตัวเกียร์เองก็ทำให้ชุด Torque convertor ถูกต่อติดกับเครื่องยนต์ตลอดเวลาและ ภายในเจ้าตัวแปลงกำลังเครื่องยนต์นี้ก็มีการหมุนเวียนน้ำมันเกียร์ เรื่องที่เขาเถียงเรื่องการใช้อันไหนดีกว่ากัน โดยมีคำพูดจากทั้ง 2 ฝั่ง
ฝั่งที่บอกว่าใช้เกียร์ D ดีกว่า ก็บอกว่า ระบบเกียร์เองมีการใช้แรงดันน้ำมันในการทำงาน เพื่อปรับตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสม และมีแรงดันสูง ซึ่งอาจจะทำอันตรายต่อระบบถ้าเปลี่ยนไปๆมาๆ บ่อยครั้ง
แต่ในขณะที่อีกด้านก็มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือว่า ถ้าน้ำมันมีการหมุนวนมากๆ โดยไม่เคลื่อนไหว อาจจะก่อให้เกิดความร้อนสะสม มากขึ้นในน้ำมัน และมันคือศัตรูที่สำคัญ ที่ทำให้ระบบเกียร์เสื่อมสมรรถนะเร็วขึ้นเช่นกัน รวมถึงในส่วนของระบบคลัทช์ระหว่างเฟืองเกียร์ด้วย ที่จะพร้อมทำงานตลอดเวลา (ด้านที่บอกใช้เกียร์ N ดีกว่า) ซึ่งจะสรุปในความคิดของแต่ละฝ่ายก็ว่าอีกอย่างมีผลด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอย่ในความคิดเราละครับจะใช้แบบไหนดี ถ้าผมเองจะใช้ความเหมาะสมมากกว่า เช่นถ้ารถติดนานๆ ก็อาจจะใช้เกียร์ N แต่ถ้าติดไม่นานก็ใช้เกียร์ D เป็นต้น
ประเด็นสุดท้ายเรื่องความประหยัด ประเด็นคำตอบของประเด็นนี้ก็อธิบายไม่ยากเท่าไร เพราะเหตุผลอยู่ในประเด็นของการสึกหรอแล้ว เพราะทุกครั้งที่เราเข้าเกียร์ D เหยียบเบรกไว้ แต่รถไม่เคลื่อนมาจากการกำลังเบรกต้านไว้ มันก็คือการที่เราสั่งรถเดินหน้าอยู่ตลอดเวลาแต่รถไม่เคลื่อนที่นั่นเอง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ โดยตรงเพราะในรถบางรุ่นจะมีการปรับการทำงานเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อความสะดวกและให้กำลังของการออกตัว และหมายถึงการสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อเครื่องยนต์พยายามที่จะสู้กำลังเบรกอย่างต่อเนื่องยิ่งทำให้มีความต้องการเร่งในช่วงสั้นๆ บ่อยครั้ง ซึ่งสังเกตได้จาก รอบเครื่องยนต์ของตอนเข้าเกียร์ D และNจะต่างกัน
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ตอบยากว่าเราสมควรจะใช้แบบไหนมากกว่ากัน เพราะแต่ละท่านไม่ได้แค่ขับรถอยู่แค่ถนนเดียวกัน เมืองเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ซึ่งแต่ละที่ยอมมีความแตกต่างกันเรื่องสภาพจราจร การเลือกใช้จึงต้องดูให้เหมาะกับสถานะการจึงต้องดูว่าเวลาไหนเราควรใช้ N หรือ D มากกว่า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความขับรถด้วยความไม่ประมาทและถึงที่หมายครับ