แบคไฟร์ ตอนที่ 2 หนทางป้องกัน

20 พฤศจิกายน 2561   4328

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแบคไฟร์

  1. ถ้าระบบเดิมเป็นแบบมิกเซอร์ แล้วมีปัญหาเยอะ แนะนำให้เปลี่ยนเป็นระบบแก๊สหัวฉีด ซึ่งระบบนี้ตัวป้องกันชั้นดีในการป้องกันแบคไฟร์ เพราะระบบฉีดจะลดปริมาณแก๊สที่สะสมอยูในท่อให้น้อยลง ถ้าตัวเครื่องยนต์เกิดแบคไฟร์ขึ้นมา ก็จะติดไฟแค่นิดเดียว ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับ ส่วนที่ควบการจ่ายแก๊สจะตัดการจ่ายแก๊สก่อน
  2. ใส่ที่กันแบคไฟร์ หรือเรียกกันบ้านๆตัวกันจาม ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเข้าอุปกรณ์ตัวนี้ ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดแบคไฟร์ แต่เป็นตัวช่วยลดแรงดันจากแบคไฟร์ ซึ่งจะลดอาการแบคไฟร์ให้เบาลง และลดความเสี่ยงที่เกิดไฟไหม้
    ตัวนี้มีโอกาสก็ซื้อเลยครับราคาเบาๆ คุ้มมาก แค่ประมาณ 100-150 บาท ส่วนการติดตั้ง ต้องติดตั้งอยู่หลังลิ้นปีกผีเสื้อหรือเรียกกันคอไอดี ถ้าเอาไปติดในส่วนอื่นก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
  3. เปลี่ยนมาใช้กรองอากาศเปลือยแบบแสตนเลส ตัวนี้ก็เหมือนตัวข้อ 2 คือการบรรเทาไม่ได้ป้องกันการเกิดแบคไฟร์ แบบเดิมทั่วไปนั้นจะเป็นกระดาษจึงทำให้ติดไฟง่าย ซึ่งทำให้ลุกลามไปยังหม้อกรองได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งดับช้าก็จะลุกลามไปยังไปยังส่วนอื่นอุปกรณ์อื่นอีก แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาใช้แบบแสตนเลส ได้เยอะทั้งมีเวลาดับไฟและอาการลุกลามก็เป็นไปอย่างช้าๆ จึงมีเวลาให้เราตั้งสติ ตัดสินใจได้ ในส่วนของราคาจะอยู่ราวๆ 1,500 ถึง 2,000 บาท แต่ที่จะช่วยมากหรือไม่ต้องดูว่าในส่วนที่เราติดตั้งห่างจากเชื้อเพลิง และอุปกรณ์อื่นมากแค่ไหน แต่อาจจะมีการดักฝุ่นได้น้อยลงไปบ้างแต่เปลี่ยน มาใช้ก็นับว่าคุ้มกว่าอยู่ดีในเรื่องความปลอดภัย
  4. เปลี่ยนหัวเทียนเป็นแบบคุณภาพสูง หัวเทียนนับว่าเป็นจุดที่บอบบางมาก ยิ่งถ้ารถเราใช้เป็นรถติดแก๊ส ต้องใช้อุณหภูมิเผาไหม้สูงกว่า น้ำมัน จึงทำให้อายุของหัวเทียนของรถที่ใช้แก๊ส นั้นสึกหรออย่างรวดเร็วกว่า พอสึกหรอไปมากๆ เขี้ยวหัวเทียนก็จะเริ่มห่างเยอะขึ้น ก็จะทำให้การจุดประกายไฟระเบิด ได้ช้าลง ทำให้ แก๊ส กับ อากาศ เกิดการสันดาปก่อนที่เขาเรียกกันว่า การชิงจุดระเบิด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแบคไฟร์ได้บ่อยได้ง่าย
    หัวเทียนแบบอย่างดี ในที่นี้คือหัวเทียนเขี้ยวแบบ Platinum หัวเทียน G-power Iridium ราคาหัวหนึ่งตกอยู่อันละประมาณ 120–450 บาท หัวเทียนพวกนี้จะอายุการใช้ยืนยาวมากกว่า การจุดระเบิดดีกว่า แถมช่วยลดความเสี่ยงแบคไฟร์ลงอีก
  5. ดูแลเช็คสภาพอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบแก๊ส จุดที่มีความเสี่ยงการเกิดแบคไฟร์ โดยมีดังนี้
    • ก. หม้อต้มแก็ส ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี และจะเริ่มเสื่อมสภาพ วิธีสังเกตุหม้อต้มเราเริ่มจะชำรุดแล้ว ถ้าเครื่องเริ่มอืด เดินเบาแล้วไม่นิ่ง เครื่องดับ หรือต้องมานั่งปรับนั่งจูนหม้อต้มบ่อยๆ เพราะหม้อต้มเริ่มจ่ายแก๊สน้อย และถ้าเราใช้หม้อต้มที่คุณภาพไม่ดี หม้อต้มก็จะอายุสั้นเข้าไปอีกอาจจะไม่ถึงปี หรือเพียงไม่กี่เดือนผ้าหย่อน หม้อต้มรั่ว ถึงขั้นอาจถึงรั่วมาก ออกมาเป็นควันเลยก็มี เพราะฉะนั้นตอนซื้ออย่าเอาราคาเป็นตั้งในการตัดสินใจเพียงอย่างเดียว
    • ข. มิกเซอร์ ถ้าติดแบบวาริเอเบิล ตัววาริเอเบิลจะใช้แผ่นไดอะเเฟรม เป็นตัวควบคุมค่าจ่ายแก๊ส ถ้าตัวแผ่นนี้เริ่มหย่อนก็จะมีการจ่ายปริมาณ แก๊สผิดเพี้ยนทันที แบบธรรมดาก็เช่นกัน ก็มีการจ่ายแก๊สเพี้ยนได้เหมือนกัน ต้องสังเกตุดูว่าจุดที่ติดตั้งว่ามีการหลุดร่อนหรือไม่
    • ค. ท่ออากาศ ต้องดูตั้งแต่ ท่อที่ต่อจากหม้อกรองอากาศเข้าลิ้นปีกผีเสื้อ มิกเซอร์บางตัวฝังอยู่ในท่อนี้ ท่อถ้าแตก หรือเหล็กมันคลายตัว อากาศจะรั่ว และทำให้มิกเซอร์จ่ายแก๊สได้ไม่ดี เบาลง และอย่าลืมดูท่ออากาศรอบๆ เครื่องยนต์ สายลมหม้อเบรก ท่อน้ำมันเครื่อง สายแว็คกรั้ม ด้วย ถ้ามีอาการรั่วขึ้นมา เครื่องมันจะไปดูดอากาศเข้ามาจากรอยที่รั่วๆนั้นแหละครับ และเป็นสาเหตุทำให้เป็นแบคไฟร์ได้
    • แลมด้า หรือที่เรียกกันวาล์วปรับกลาง หน้าที่ของมันคือเป็นตัวควบคุมปริมาณการจ่ายแก๊สโดยตรง คอยควบคุมส่วนผสมให้ได้ลงตัว ควรตรวจดูเช็คความแน่นหนาของท่อยาง อย่าให้มันบิดมันงอ หรือแฟ่บเพราะมีผลต่อการจ่ายแก๊สทั้งนั้น และร่วมถึงตัวเราเองที่ไปตั้งค่าความเบาความแรงของแก๊สใหม่ด้วยถ้าตัวเรายังขาดความชำนาญอย่าไปปรับเองลองไปปรึกษาช่างที่ติดแก๊สก่อนดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดแบคไฟร์

ถ้ารถเกิดแบคไฟร์ขึ้นมาต้องทำอย่างไร

  1. มีอาการแบคไฟร์ ตั้งแต่สตาร์ทครั้งแรก ปัญหานี้ส่วนมากเกิดจาก ระบบออโต้ที่สตาร์ทด้วยน้ำมัน ในขณะที่มีแก๊สหลงเหลืออยู่ในระบบจากการขับเมื่อครั้งก่อน สั้นๆ คือแก๊สค้างท่อนั้นเอง และอีกสาเหตุเกิดจากอุปกรณ์แก๊สมีการชำรุดเสียหาย หรือเครื่องยนต์ชำรุดมีปัญหา จึงได้เกิดแบคไฟร์
    วิธีแก้ไข ให้รีบเปิดฝากระโปรงรถมาดู มามีควันไฟเกิดขึ้นที่หม้อกรองอากาศหรือเปล่า ถ้าไม่มี ให้เว้นพักไปไว้ชั่วคราวก่อนแล้วค่อยกลับไปสตาร์ทใหม่ ถ้าไม่ติดอีก หรือเป็นแบคไฟร์อีก ให้หยุดการสตาร์ทไว้เพียงแค่นี้ เพราะต้องมีปัญหากับระบบเครื่องยนต์หรือระบบแก๊สแน่ๆ แล้วถ้าใช้พวกเครื่องรถยุโรป เครื่องยนต์ไดเร็คคอยล์บางรุ่น อาจจะมีปัญหาแบคไฟร์ได้ทุกครั้งถ้าไม่ได้ใช้แก๊สระบบหัวฉีด
  2. เป็นตอนที่เปลี่ยนใช้พลังงานจากน้ำมัน ไปเป็นแก๊ส ซึ่งส่วนมากจะเป็นระบบออโต้ เกิดได้จาก รอบเครื่องที่เปลี่ยนเป็นแก๊สนั้นต่ำเกินไป ,ระบบแก๊สมีปัญหา,เครื่องยนต์มีปัญหา อากาศในข้อนี้เสียงปุ๊กมันดังมาก และรุนแรงมีโอกาสเกิดไฟไหม้ได้สูง เพราะปริมาณของแก๊สต้องเกิดแบคไฟร์มีสูง
    วิธีแก้ไข รีบจอดรถ เปิดฝากระโปรง ถ้ามีควันไฟให้รีบดับไฟ ถ้าไม่มีไปดูที่ห้องเครื่อง และตัวอุปกรณ์แก๊ส พร้อมสำรวจหา ดมกลิ่นแก๊ส ถ้าได้กลิ่นแก๊สฉุนแรงห้ามสตาร์ทรถต่อเพราะแก๊สรั่วแล้ว ให้รีบไปดับกุญแจรถและถอดขั่วแบตรถออก และถอยห่างจากรถ
  3. เกิดจากตอนขับอยู่ปกติ แล้วเกิดดังปุ๊กแต่เครื่องยนต์ไม่ได้ดับ เกิดมาจากการปรับส่วนผสมจางเกินไป แต่ถ้าขับต่อไปแล้ว แบคไฟร์เสียงดังขึ้น แล้วเครื่องดับ
    วิธีแก้ไข ให้รีบจอดรถเลยทันที เปิดฝากระโปรง ทิ้งไว้ซักพักให้แก๊สมันสลายตัว แล้วค่อยสตาร์ทใหม่ ลองทำอีก2-3ครั้ง แต่ไม่ควรเหยียบคันเร่ง แล้วสตาร์ท เพราะแก๊สมันจะท่วมและทำให้ติดยาก และไม่ควรกดระบบแก๊ส น้ำมันสลับกันไปมาในช่วงสตาร์ท เพราะจะเสี่ยงมากถึงขนาดรถไฟไหม้ได้
=