
แผนกขาย
095 249 9266
แผนกบริการ
1114
แผนกรถเช่า
081 785 3955
แผนกประกัน
089 924 2066
บริการตัวถังและสี
098 285 8295
แผนกอะไหล่
091 557 8511
นัดหมายล่วงหน้า
1114
คงต้องย้อนไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน รถยนต์ของเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น S Class เป็นรุ่นแรก ที่ได้รับการติดตั้งระบบถุงลมนิรภัย จากโรงงาน ที่ Sindelfingen ประเทศเยอรมนี โดย บริษัท เมอร์เซเดสเบนซ์ ได้ใช้เวลาพัฒนาค้นคว้าทดลองอยู่ถึง 13 ปี ด้วยกัน และถือเป็นก้าวใหม่ของความปลอดภัยในรถยนต์เลยก็ว่าได้
สถิติข้อมูลจากหน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา (NHTSA) ได้ระบุไว้ว่า ถุงลมนิรภัยได้ปกป้องชีวิตของผู้ขับรถยนต์ได้ 28,000 กว่ารายในอเมริกา และจนเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1992 ถุงลมนิรภัยจึงกลายเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานของรถยนต์ นับตั้งแต่นั้นมา
ส่วนในเยอรมัน มีการบันทึกสถิติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2010 เทียบกับ ครึ่งปีแรกของปี 2009 สามารถลดการเกิดการเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงลงได้จาก 1966 เป็น 1675 หรือ 15 % เลยทีเดียว
และเมื่อไม่นาน หน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาวิจัย การทำงานของเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัย และได้ข้อสรุปผลว่า คนที่ใช้ถุงลมนิรภัย+เข็มขัดนิรภัยเมื่อไปเปรียบเทียบกับคนไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โอกาสที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรงถึงขั้นเสียชิวิตได้ลดลงถึง 61 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ เมอร์เซเดสเบนซ์ ก็เป็นเจ้าแรก ที่คิดระบบความปลอดภัยต้นแบบต่างๆ เช่น
ในปี1970 ได้เกิดมีคำถามถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากถุงลมนิรภัยกับผู้ใช้งาน จึงทำให้ค่ายรถหลายค่ายหยุดการพัฒนาถุงลมนิรภัย แต่ เมอร์เซเดสเบนซ์ ก็ยังคงพัฒนาอุปกรณ์นี้ต่อไป จนเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น และในปี 1980 รถยนต์ของค่ายเมอร์เซเดสเบนซ์ได้ประกาศใช้ถุงลมนิรภัยทุกรุ่นในสายการผลิต และตั้งแต่นั้นก็มีการค้นคว้าสำรวจการใช้ถุงลมนิรภัยอยู่ตลอด และในปี 2009 หน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา ได้พูดถึงการใช้ถุงลมนิรภัย สามารถช่วยชีวิต
คนขับได้ถึง 23,127 คน โดย 13,999 คนไม่ได้คาดเข็มนิรภัย และผู้โดยสารตอนหน้า 5,115 คน โดยเป็นผู้ไม่ได้คาดเข็มขัดถึง 2,883 คน และจากการสำรวจ ถุงลมนิรภัยจะทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อผู้ใช้คาดเข็มขัดนิรภัยควบคู่ไปด้วย