แผนกขาย
095 249 9266
แผนกบริการ
1114
แผนกรถเช่า
081 785 3955
แผนกประกัน
089 924 2066
บริการตัวถังและสี
098 285 8295
แผนกอะไหล่
091 557 8511
นัดหมายล่วงหน้า
1114
ก๊าซธรรมชาติเหลว(Liquefied natural gas, LNG) คือ ก๊าซธรรมชาติที่ถูกลดอุณหภูมิลงที่ประมาณ –161 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ก๊าซมีเทนแปรสภาพเป็นของเหลวที่ความดันบรรยากาศปริมาตรจะลดลงประมาณ 600 เท่าของสถานะก๊าซ ค่าความร้อนประมาณ 100-1160 btu/scf LNG จะถูกจัดเก็บในถังและขนส่งโดยเรือ หลังจากนั้นจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการเพื่อทำให้กลับไปสู่สถานะก๊าซก่อนนำไปใช้งาน
การผลิตก๊าซ (Upstream Production)
แหล่งก๊าซที่เหมาะสมสำหรับทำ LNG จะต้องมีปริมาณสำรองที่สามารถผลิตก๊าซ อย่างน้อย 20 ปี เช่น หากต้องการผลิต LNG ที่ 8 ล้านตันต่อปี แหล่งก๊าซต้องมีปริมาณสำรองประมาณ 10-11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และจะต้องทำการแยก Condensate และ LPG ออกจากก๊าซ ที่ผลิตได้ก่อนส่งเข้า Liquefaction Plant
การทำให้ก๊าซเป็นของเหลว (Liquefaction Plant)
LNG Plant ประกอบด้วย Gas treatment unit , Liquefuction trains , Storage tanks (LNG, condensate, LPG) และ Jetty, berth and loading facilities
การขนส่ง (Transportation)
การขนส่ง LNG ในปัจจุบันใช้เรือที่บุฉนวนกักเก็บ LNG ที่ระดับความดันบรรยากาศแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
การรับก๊าซจัดเก็บและเปลี่ยนสถานะกลับไปเป็นก๊าซ (Receiving Terminal)
เป็นส่วนสุดท้ายก่อนที่จะนำเข้าสู่ระบบท่อเพื่อนำไปใช้งาน LNG Receiving terminal ประกอบด้วย Jetty ซึ่งเป็นท่าเรือในการรับจ่าย LNG เพื่อนำเข้าจัดเก็บในถังจัดเก็บ (Storage Tank) ก่อนนำเข้าสู่ระบบการเปลี่ยนสถานะของเหลวเป็นก๊าซ
ความปลอดภัย
เช่นเดียวกับคุณสมบัติของก๊าซธรรมชาติ LNG มีค่าความสามารถในการติดไฟและมีสัดส่วนสารไฮโดรคาร์บอนเบาสูงกว่า LPG โอกาสเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงน้อยมากซึ่งการลดความเสี่ยงทำได้โดยการให้ความสำคัญในงานออกแบบวิศวกรรมก่อสร้างและการปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
ข้อดีของก๊าซธรรมชาติเหลว
ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นพลังงานที่ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอื่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับถ่านหินและน้ำมันเตา มลภาวะที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
การนำเข้า LNG ของประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยนั้น ปตท. ได้มีแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ด้านพลังงานดังกล่าว โดยมีการจัดหาก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากอ่าวไทยจากการวางท่อก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 3 ลงในทะเล ซึ่งคาดว่าจะรองรับความต้องการก๊าซธรรมชาติที่ขยายตัวถึงร้อยละ 12 ต่อปี ได้ถึงปี พ.ศ.2553 หลังจากนั้น ปตท. มีแผนที่จะนำเข้า LNG ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 ไปในราคาที่สามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงอื่นได้ ทั้งในการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรมซึ่งการนำเข้า LNG นี้นับว่ามีความสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวและสอดคล้องกับทิศทางที่หลายประเทศกำลังดำเนินการอยู่
โครงการ Receiving Terminal
เพื่อรองรับการนำเข้า LNG ตั้งแต่ปีพ.ศ.2554 ปตท.ได้จัดตั้งบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ขึ้นเพื่อดำเนินโครงการ LNG Receiving Terminal ให้แล้วเสร็จภายในปีพ.ศ.2553 โครงการ LNG Receiving Terminal จะประกอบด้วย
ทั้งนี้ LNG ที่เปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซแล้วจะถูกส่งเข้าเครือข่ายระบบท่อ (Pipeline Network) เพื่อส่งไปยังลูกค้า โดยผ่านอุปกรณ์วัดปริมาณก๊าซ (Meter) และกระบวนการเติมกลิ่น (Odorization)
จากการประมาณการเบื้องต้น คาดว่าโครงการมีความต้องการใช้พื้นที่ 380 ไร่ โดยในระยะแรกสามารถรองรับการนำเข้า LNG ได้ 5 ล้านตัน/ปี และ 10 ล้านตัน/ปีในอนาคต